9 เครื่องราง ของขลัง และความเชื่อ ความศรัทธา

ในหลายวัฒนธรรม เชื่อว่า เครื่องราง จะช่วยป้องกันวิญญาณชั่วร้ายหรือพลังงานด้านลบ ส่งเสริมความโชคดี และเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี

เครื่องราง มักเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาหรือจิตวิญญาณ และผู้คนจากหลายศาสนาใช้เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธาและเป็นแหล่งของการปลอบโยนและความแข็งแกร่ง

ในขณะที่บางคนอาจมองว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องงมงายหรือไร้เหตุผล แต่สำหรับคนอื่นๆ พวกเขามีความสำคัญทางจิตวิญญาณอย่างลึกซึ้งและให้ความรู้สึกเชื่อมโยงกับความศรัทธาและมรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขา

เครื่องราง เป็นวัตถุที่เชื่อกันว่ามีมนต์ขลังคุ้มครองผู้สวมใส่จากอันตรายหรือนำโชคมาให้ 

สามารถปกป้องคุณจากอันตรายได้: หลายคนเชื่อว่าการสวมใส่เครื่องรางสามารถทำให้พวกเขาอยู่ยงคงกระพันจากอันตรายทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่เป็นความจริง แม้ว่าเครื่องรางอาจให้ความคุ้มครองบางอย่าง แต่ก็ไม่สามารถปกป้องคุณจากทุกสิ่งได้

นำโชคมาให้: ความเชื่อทั่วไปอีกประการหนึ่งคือของขลังนี้สามารถนำโชคดีมาสู่ผู้สวมใส่ได้ แม้ว่าเครื่องรางอาจเกี่ยวข้องกับความโชคดี แต่ก็ไม่สามารถรับประกันได้ ความเชื่อในความโชคดีมักขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของแต่ละคน

“มีความเข้าใจผิดกันทั่วไปว่า เครื่องราง ต้องสร้างจากวัสดุที่หายากหรือแปลกใหม่จึงจะได้ผล อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของ เครื่องราง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหา แต่ขึ้นอยู่กับพลังแห่งความเชื่อและความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลัง”

สามารถใช้ทำร้ายผู้อื่นได้: บางคนเชื่อว่าเครื่องรางของขลัง สามารถใช้ทำร้ายผู้อื่นหรือทำให้โชคร้ายได้ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่เป็นความจริง เครื่องรางมีไว้คุ้มครองผู้สวมใส่ไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น

มีพลังครอบจักรวาล: แม้ว่า มักจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อและวัฒนธรรมเฉพาะ แต่บางคนก็เชื่อว่ามันมีพลังครอบจักรวาล อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของเครื่องรางมักขึ้นอยู่กับความเชื่อและบริบททางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล

“วันนี้ Admin ได้หา เครื่องราง มาได้ 9 อย่าง แต่ละอย่าง มีพุทธคุณอย่างไร เสริมเรื่องอะไรบ้าง
เรามาดูกันค่ะ”

สารบัญ

• บ่วงนาคบาศ หรือ บ่วงนาคราช
• นะหน้าทอง
• สาลิกาลิ้นทอง
• แมลงภู่คำหลวง
• เทพจำแลงภมร
• พระขุนแผน
• อิ่นคู่และงั่ง
• สีผึ้ง
• ตะกรุดพิศมรร้อยไหม
• สรุป

เมื่อพูดถึง บ่วงนาคบาศ อาจคุ้นชื่อจากตำนานของนาคบาศในฐานะศรของอินทรชิต ที่พระพรหมเป็นผู้มอบให้ เมื่อยิงออกไปจะกลายเป็นงูรัดศัตรู และได้มีพิธีชุบศรเพื่อนำมาต่อสู้กับฝั่งพระรามนั่นเอง

ในตำนานกล่าวว่าเป็นบ่วงเชือกที่แข็งแรงที่สุด เป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนต่างต่อสู้แย่งกันเพื่อให้ได้เป็นเจ้าของครอบครองสิ่งนี้

ในอดีตจึงเชื่อว่า ผู้ที่จะสามารถครอบครองบ่วงนาคบาศได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการสูง เพราะการเกิดของบ่วงนาคบาศนั้น เป็นการเกิดขึ้นตามธรรมชาติและหาได้ยากที่จะเป็นไปได้ นั่นคือการที่งูกินหางตัวเองจนกลายเป็นหิน

ตำนานโบราณจึงยกให้บ่วงนาคนาศ เป็นสุดยอดพุทธคุณ เป็น เครื่องราง แห่งโชคลาภและป้องกันภัย เรียกว่าเป็นราชแห่งทรัพย์สมบัติ นำพาโชคลาภและเงินทองมาแก่ผู้บูชา

เชื่อว่าการบูชาบ่วงนาคบาศ จะได้รับความร่ำรวย ทั้งในด้านการเสี่ยงโชคก็ดี หรือการทำมาค้าขายก็ดี ล้วนแต่จะสร้างทรัพย์เรียกทรัพย์เข้าหาตัว ทั้งยังเชื่อว่าจะทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อต้องต่อสู้หรือพบเจอสิ่งใด ก็ชนะและอยู่เหนือสิ่งนั้นเสมอ

ด้วยรูปลักษณ์ของบ่วงนาคบาศที่เป็นงูกินหางตัวเอง หรืองูสองตัวกินหางกันเอง จึงเชื่อว่าการบูชาไว้ ก็มีกินมีใช้ ไม่มีวันอด ดังงูที่กินหางกัน รัดกันจนแน่นไม่มีสิ่งใดคลายออกจากกันได้

เมื่อได้ครอบครองบ่วงนาคบาศ ไม่ต้องกังวลไปว่า การบูชาจะเป็นเรื่องยากแต่อย่างใด เพราะสามารถสวมใส่พกติดตัวได้ทุกวัน พร้อมกับอธิษฐานบทสวด ที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการ

โดยมีบทสวด 3 บทที่สามารถบูชาบ่วงนาคบาศได้

บทแรก ใช้สำหรับเสี่ยงโชค
“โอม เอ หิ พญานาคะสุปัณณานัง สิทธิชะนาจิตตัง อุ มะอะ โชคลาภจงบังเกิด”

บทที่สองใช้สำหรับค้าขาย มหาเสน่ห์
“เอหิ พญานาคะสุปัณณานัง พุทโธภะคะวา พุทธังสิทธิชะนาจิตตัง ธัมมังสิทธิชะนาจิตตัง สังฆังสิทธิชะนาจิตตัง อิติปิโสภะคะวา พุทธมัดใจ โมเรียกมา บ่วงทัพพะนาคา เยติ โอมประสิทธิเม”

บทที่สามใช้สำหรับภูติกันภัย
“เอ หิ พญานาคะสุปัณณานัง สิทธิชะนาจิตตัง อิติปิโส ภะคะวา พุทธังปิด ธัมมังปิด สังฆังปิด มะอุอะ”
สามารถสวดได้ในทุกวัน และไม่จำกัดครั้ง ตามความศรัทธา เพื่อเพิ่มโชคลาภ เรียกทรัพย์

“ฉันจึงเป่าคาถา เพื่อให้เธอหลงใหล ให้ทองที่แปะหน้าฉัน…”

เพื่อนหลายคนคงได้ยินเพลงนี้ของโจอี้ บอย กันมาบ้างแล้ว ความเชื่อเรื่องนะหน้าทองยังมีอยู่ในเพลงไทยอีกหลายเพลง ๆ เลย หลาย ๆ คนที่ยังไม่รู้ว่า นะหน้าทอง คืออะไร นะหน้าทอง คือการแปะทองบนหน้า และสวดคาถา มีความเด่นดังในด้านการส่งเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ และโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง

เชื่อกันว่า ใครที่ได้ลงนะหน้าทองถือเป็นวาสนาแห่งบุคคลผู้นั้น ใครที่ไม่เคยมีใครรัก ก็จะทำให้มีคนมาเมตตารักใคร่ ที่ทำมาหากินไม่ดีก็กลับมาค้าขายดีมีกำไร ชีวิตที่อับเฉาก็จะไม่แห้งเหี่ยวอีกต่อไป จะเกิดสิ่งที่ดี ๆ เข้ามาในชีวิต พลิกชะตาจากที่ร้ายกลายเป็นดีอย่างไม่น่าเชื่อ จะบังเกิดสิ่งที่ดี ๆ ขึ้นในชีวิต และในปัจจุบัน ก็มีการเปลี่ยนรูปแบบเป็น เครื่องราง อันเล็ก ๆ ที่สามารถพกติดตัวได้ด้วย

เป็นความเชื่อมาแต่โบราณที่มาจาก “สาริกา” ซึ่งเป็นนกชนิดหนึ่ง มีปากหนาสีแดง มีสีสันสวยงาม มีเสียงเสียงไพเราะ และจะส่งเสียงได้ไพเพราะยิ่งขึ้นในตอนช่วงหาคู่ ด้วยสาเหตุเสียงร้องที่ไพเราะ

จึงส่งผลให้กลายมาเป็น เครื่องรางของขลังในรูปแบบของนกสาริกาที่เชื่อว่าเด่นในเรื่องของการพูด การเจรจาต่าง ๆ สาริกาลิ้นทอง หรือ สาริกาคู่ เป็นเครื่องรางเสริมเสน่ห์ ช่วยเรื่องเมตตามหานิยม รวมถึงดึงดูดโชคลาภ โดยเฉพาะใครที่ต้องทำธุรกิจ เจรจาค้าขาย ทำการค้า

หรือในวันที่ต้องไปพบปะลูกค้า เชื่อกันว่าหากพกสาริกาลิ้นทองติดตัวจะช่วยให้พูดจาไหลลื่น การเจรจาประสบความสำเร็จ ผู้คนหลงใหลพูดอะไรก็คล้อยตาม นิยมนำมาทำเป็นสร้อยคอหรือสร้อยข้อมือให้พกพาง่าย

อีกหนึ่ง เครื่องราง เสริมเสน่ห์และเมตตามหานิยมจากล้านนาที่ความเชื่อได้แพร่เข้ามาในไทย เชื่อกันว่าหากพกแมลงภู่คำหลวงนั้นจะช่วยเสริมดวงโชคลาภเมตตามหานิยม เป็นที่รักใคร่เอ็นดู ช่วยเสริมในด้านค้าขาย ปกป้องคุ้มครองจากพลังด้านลบ

เดิมที แมลงภู่คำหลวงจะถูกสร้างมาจากไม้ดุมล้อเกวียนโบราณที่ทำมาจากไม้ประดู่แดง เพราะตามความเชื่อเดิมนั้น ดุมล้อเกวียนเป็นสิ่งที่ใช้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ทำให้ผู้บูชา แมลงภู่คำหลวง มีความเจริญก้าวหน้าตลอดไป คนที่แกะสลักแมลงภู่คำหลวง จะต้องมีเชื้อเจ้าและจะแกะสลักได้ในวันที่มีการกำหนดฤกษ์ไว้เท่านั้น

ด้วยวิธีการโบราณที่เข้มงวดและสรรพคุณในด้านต่าง ๆ ปัจจุบันนี้จึงมีผู้ที่นิยมบูชา และสร้างแมลงภู่คำหลวง ในรูปแบบใหม่ที่สามารถสวมใส่เป็นเครื่องประดับได้ด้วย แมลงภู่คำหลวงที่มีชื่อเสียง เป็นแมลงภู่คำหลวงที่สร้างโดยครูบากฤษณะซึ่งถือกันว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเครื่องรางล้านนา

เครื่องราง ที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่ชาวไทย ชาวจีน มาเลเซีย สิงค์โปร์ ไต้หวันฯ มีพุทธคุณทางด้านความรัก เมตตามหานิยม การค้าขายรุ่งเรือง ซึ่งสร้างโดย ครูบากฤษณะ อิณทวัณโณ สำนักสงฆ์เวฬุวัน บ้านคลองกระทิง ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา

เช่นเดียวกับแมลงภู่คำหลวง เทพจำแลงภมรที่สร้างโดยครูบากฤษณะ มีลักษณะเหมือนผีเสื้อกางปีก แต่เมื่อสังเกตให้ดีจะเป็นหน้าของพระศิวะ และพระแม่อุมาเทวีหันหน้าเข้าหากัน และมีอักษรโบราณที่เรียกว่า “เทวะนาคี” ล้อมรอบ เป็นสี่เหลี่ยมตกแต่งด้วยสีสันสวยงาม

ซึ่งมีพุทธคุณที่เสริมดวงด้านความรัก เสริมเสน่ห์ เมตตามหานิยม อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ใหญ่รักใคร่เอ็นดูและเรียกเงิน เรียกโชค เรียกทรัพย์

ความเชื่อในการบูชาเทพจำแลงภมรได้รับความนิยมมาตั้งแต่ในอดีต จึงเป็นอีกหนึ่งใน เครื่องรางของขลัง เมตมหานิยมที่สายมูทั้งหลายควรมี นอกจากนั้นแล้วทุกวันนี้เทพจำแลงภมร ได้มีการพัฒนารูปทรงเป็นทรงกระบอก สามารถนำมาสวมใส่เป็นเครื่องประดับได้อีกด้วย

อีกหนึ่ง เครื่องราง มหาเสน่ห์จัดอยู่ในประเภทพระเครื่อง ที่คนไทยนิยมบูชามาตั้งแต่โบราณ หลาย ๆ คนอาจจะเข้าใจผิด เชื่อกันว่าเป็นขุนแผนเดียวกันกับในวรรคดีไทยโบราณเรื่องขุนช้างขุนแผน

แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ตามความเชื่อ มักเชื่อกันว่าพระขุนแผนมีอำนาจในด้านเสน่ห์ เมตตามหานิยมเป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้าง ผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดู เป็นที่ต้องตาต้องใจกับเพศตรงข้าม จากประวัติการสร้าง พระขุนแผน ได้มีการค้นพบครั้งแรกที่ วัดบ้านกร่าง จังหวัดสุพรรณบุรี ลักษณะเป็นพระพิมพ์ 5 เหลี่ยม มีลักษณะของพระปางมารวิชัย ประทับนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว

และต่อมาถูกสร้างกันมาหลายรุ่น ที่ได้รับความได้แก่ พระขุนแผนเคลือบ กรุวัดใหญ่ ชัดมงคล จ.พระนครศรีอยุธยา ขุนแผนแขนอ่อนรุ่นแรก หลวงปู่ชื้น วัดญาณเสน , พระขุนแผนหลวงปู่ชื่น วัดตาอี จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น ในวงการคนชอบพระเครื่องพระขุนแผนเป็นพระเครื่องอีกหนึ่งองค์ที่ทุกคนอยากเก็บไว้บูชา

เป็น เครื่องราง ของขลังจากล้านนาโบราณอีกหนึ่งอย่างที่มีชื่อเสียงเรื่องเมตตามหานิยม และสรรพคุณในด้านเสริมเสน่ห์และเสริมความรัก หากคนมีคู่พกพาก็จะยิ่งทำให้ความรักราบรื่นและผูกพันกันแน่นแฟ้นขึ้น ส่วนคนโสดก็จะเสริมเสน่ห์ทำให้คนมารักใคร่เอ็นดู มีลักษณะเป็นรูปผู้ชาย ผู้หญิง ยืนหรือนั่งโอบกอดกัน ด้วยลักษณะนี้จึงเชื่อว่าผู้สร้างตั้งใจสร้าง

เพื่อเอาไปใช้ในด้านนี้โดยเฉพาะ อิ่น เป็นที่นิยมใช้กันโดยแพร่หลายทางภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง แต่ในปัจจุบันเป็นที่นิยมกันทั่วประเทศ มีทั้งเกจิอาจารย์และฆราวาสผู้มีวิชาอาคม เป็นผู้สร้างกันมากมายหลายท่าน

ในขณะที่ “งั่ง” เป็น เครื่องรางของขลังที่ได้อิทธิพลมาจากประเทศกัมพูชา จึงเป็นนิยมใช้กันมากทางแถบภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ ลักษณะคล้ายคลึงกันกับพระฤกษ์ พระชัยของอยุธยา ด้านพุทธคุณ “งั่ง” นั้น เน้นไปทางแคล้วคลาด คงกระพันชาตรี

แต่พุทธคุณด้านเมตตามหานิยม และเรื่องรักใคร่ก็มีความขลังไม่น้อยไปกว่ากันเลย งั่งมีทั้งงั่งเกศตรง งั่งเกศคด และงั่งแบ่งตาแดง และตาไม่แดง ปัจจุบันงั่งของแท้นั้นหายากมาก ๆ จนถึงมากที่สุด

หากเป็นเมื่อก่อนเราอาจคุ้นเคยสีผึ้งที่เป็นแบบตลับ ที่เอาไว้ทาปากทาริมฝีปาก แต่ปัจจุบันได้มีการปรับเปลี่ยน ให้อยู่ในรูปแบบของตะกรุด ใครพบเห็น เชื่อกันว่า สีผึ้งปลุกเสกอาคมบทเมตตามหาเสน่ห์ที่ทำถูกต้องตามพิธีกรรมทางไสยศาสตร์

เป็น เครื่องราง ที่มีพุทธคุณเป็นเลิศในด้านมหาเสน่ห์ เปี่ยมด้วยพลังอิทธิฤทธิ์ ถ้าจะให้สีผึ้งมีมนตร์เสน่ห์แก่เพศตรงข้าม ต้องใช้รังผึ้งป่าแท้เท่านั้นมาหุงเป็นสีผึ้งแล้วนำไปประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ในพระอุโบสถหรือในป่าช้า 9 วัน 9 คืน

ในคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง คืนเดือนมืดข้างแรม ถึงจะได้สีผึ้งแท้ที่เปี่ยมด้วยพลังเมตตามหาเสน่ห์ยิ่ง

เครื่องราง ของหลวงปู่รวย อาจาโร วัดคลองขนอน ซึ่งหลวงปู่ตั้งใจจารหัวใจยันต์เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์เอาไว้ในตะกรุดพิศมรร้อยไหมเจ็ดสีนี้ ได้เชิญพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ อิทธิคุณ เทวาคุณ หนุนนำเสกในเอาไว้ในตะกรุดนี้ เพื่อให้ก่อเกิดพุทธคุณหนุนนำในเรื่องความรัก บังเกิดความเมตตาแก่ผู้ที่พบเห็น

ไม่เว้นแม้ชายหรือหญิง จะหนุ่มหรือสาว จะม่ายหรือโสด ก็สามารถมีไว้อาราธนาบูชาเพื่อให้เกิดความเมตตาได้เท่าเทียมกัน มีเรื่องเล่าอยู่ว่า ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์เข้ามากราบหลวงปู่ในช่วงยามวิกาลเนื่องจากมีเรื่องร้อนใจ ด้านความรักเพราะพ่อตาไม่ยอมรับเนื่องจากตนเป็นคนยากจน

จึงได้มากราบขอความเมตตาจากหลวงปู่รวย อาจาโร ขอให้ท่านช่วยเหลือ ซึ่งในขณะนั้น หลวงปู่รวย อาจาโร กำลังปลุกเสกตะกรุดพิศมรร้อยไหมนี้อยู่ท่านจึงได้เมตตามอบตะกรุดพิศมรร้อยไหม ให้กับลูกศิษย์คนนั้น

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ ลูกศิษย์ผู้นั้นได้กลับมากราบหลวงปู่รวย อาจาโร เนื่องด้วยบารมีหลวงปู่จึงทำให้สมหวังดังสิ่งที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้เครื่องรางนี้ เป็นอีกหนึ่งเครื่องรางเสริมเสน่ห์ที่หลาย ๆ คนชอบ

เป็นวัตถุที่เชื่อกันว่ามีมนต์ขลังคุ้มครองผู้สวมใส่จากอันตรายหรือนำโชคมาให้ 

มีไว้คุ้มครองผู้สวมใส่ไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น

เครื่องรางของขลัง หรือพระเครื่องต้องสร้างจากวัสดุที่หายากหรือแปลกใหม่จึงจะได้ผล อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของเครื่องรางไม่ได้ขึ้นอยู่กับเนื้อหา แต่ขึ้นอยู่กับพลังแห่งความเชื่อและความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลัง

อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของเครื่องรางมักขึ้นอยู่กับความเชื่อและบริบททางวัฒนธรรมของแต่ละบุคคล